
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium ascalonicum L.
ชื่อพ้อง : A. cepa L. cv.group aggregatum, A. cepa L. var. ascalonicum Backer
วงศ์ : Alliaceae
ชื่อสามัญ : Shallot
ชื่อพ้อง : A. cepa L. cv.group aggregatum, A. cepa L. var. ascalonicum Backer
วงศ์ : Alliaceae
ชื่อสามัญ : Shallot
ชื่ออื่น : หอม (ทั่วไป) หอมแกง หอมแดง (ภาคกลาง,ภาคใต้) หอมไทย หอมหัว (ภาคกลาง) หอมบัว (ภาคเหนือ)
ลักษณะ : เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นหรือมีหัวอยู่ใต้ดิน หัวมีลักษณะกลมสีม่วงอมแดง ประกอบด้วยหัวเล็ก ๆ อยู่รวมกันหลายหัว มีเปลือกบาง ๆ ห่อหุ้มอยู่ภายนอก ใบยาวกลวงออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ จำนวนมาก ดอกมีสีขาวหรือสีม่วงอ่อน
ประโยชน์ : สรรพคุณทางสมุนไพร ใบ รสหวานเผ็ดเค็มฉุน แก้ไข้หวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล แก้โรคตา แก้ไข้กำเดา หัว รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะ อันครืดคราดอยู่ในทรวงอก บำรุงผมให้งอกงาม ทำให้เนื้อหนังสดชื่น แก้ไข้ที่ทำให้ร้อนใน ปวดกระบอกตา แสบร้อนตา น้ำตาไหล ขับเสมหะ แก้โรคในปากคอ บำรุงธาตุ ตำผสมพิมเสน และเปราะหอม พอกกระหม่อมเด็กไว้ราว 1 ชม. แก้หวัดคัดจมูก

สาระแนชื่อวิทยาศาสตร์ : Mentha cordifolia Opiz ex Fresen
วงศ์ : Labiatae
ชื่อสามัญ : Kitchen Mint
ชื่ออื่น : มักเงาะ สะแน่ (ภาคใต้) สะระแหน่สวน (ภาคกลาง) หอมด่วน (ภาคเหนือ)
ลักษณะ : ไม้ล้มลุก เลื้อยแผ่ไปตามดิน ลำต้นสี่เหลี่ยม สีเขียวแกมม่วงน้ำตาล แตกกิ่งก้านมาก ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีค่อนข้างกว้าง กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 2-3 ซม. ผิวใบย่น ขอบใบหยักฟันเลื่อย มีกลิ่นเฉพาะ ดอก ช่อ ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ ผล เป็นผลแห้ง ไม่แตก
ประโยชน์ : ตำรายาไทยใช้ทั้งต้นสดกินเป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ ขยี้ทาขมับแก้ปวดหัว ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus hystrix DC.
วงศ์ : Rutaceae
ชื่อสามัญ : Leech Lime, Makrut lime, Mauritius papeda
ชื่ออื่น : มะขุน มะขูด (ภาคเหนือ) ส้มกรูด ส้มมั่วผี (ภาคใต้)
วงศ์ : Rutaceae
ชื่อสามัญ : Leech Lime, Makrut lime, Mauritius papeda
ชื่ออื่น : มะขุน มะขูด (ภาคเหนือ) ส้มกรูด ส้มมั่วผี (ภาคใต้)
ลักษณะ : ไม้ยืนต้น สูง 2-8 เมตร ใบและดอกคล้ายมะนาว ใบรูปค่อนข้างกลม กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 3-8 ซม. ก้านใบมีครีบขนาดใหญ่เท่าตัวใบ ผล รูปร่างค่อนข้างกลม ผิวขรุขระ
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้น้ำมะกรูดแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ไอ ใช้สระผมกันรังแค ผิวมะกรูดใช้ปรุงเป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้น้ำมะกรูดแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ไอ ใช้สระผมกันรังแค ผิวมะกรูดใช้ปรุงเป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum L.f. var. citratum Back.
วงศ์ : Labiatae
ชื่อสามัญ : Hairy Basil
ชื่ออื่น : ก้อมก้อขาว มังลัก
วงศ์ : Labiatae
ชื่อสามัญ : Hairy Basil
ชื่ออื่น : ก้อมก้อขาว มังลัก
ลักษณะ : แมงลักมีลักษณะทรงต้น ใบ ดอก และผลคล้ายโหระพา ต่างกันที่กลิ่น ใบสีเขียวอ่อนกว่า กลีบดอกสีขาวและใบประดับสีเขียว
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยมักเรียกผลแมงลักว่าเม็ดแมงลัก ใช้เป็นยาระบายชนิดเพิ่มกาก เพราะเปลือกผลมีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกากเช่น ผัก ผลไม้ ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้ว จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนนอน ถ้าผลแมงลักพองตัวไม่เต็มที่จะทำให้ท้องอืดและอุจจาระแข็ง จากการทดลองพบว่าแมงลักทำให้จำนวนครั้งในการถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ นอกจากนี้ใบและต้นสดมีฤทธิ์ขับลม เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหย
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยมักเรียกผลแมงลักว่าเม็ดแมงลัก ใช้เป็นยาระบายชนิดเพิ่มกาก เพราะเปลือกผลมีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกากเช่น ผัก ผลไม้ ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้ว จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนนอน ถ้าผลแมงลักพองตัวไม่เต็มที่จะทำให้ท้องอืดและอุจจาระแข็ง จากการทดลองพบว่าแมงลักทำให้จำนวนครั้งในการถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ นอกจากนี้ใบและต้นสดมีฤทธิ์ขับลม เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citratus Stapf
วงศ์ : Gramineae
ชื่ออื่น : ชื่อสามัญ : Lemon Grass
ชื่ออื่น : จะไคร ไคร
วงศ์ : Gramineae
ชื่ออื่น : ชื่อสามัญ : Lemon Grass
ชื่ออื่น : จะไคร ไคร
ลักษณะ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 0.75-1.2 เมตร แตกเป็นกอ เหง้าใต้ดินมีกลิ่นเฉพาะ ข้อและปล้องสั้นมาก กาบใบสีขาวนวลหรือขาวปนม่วง ยาวและหนาหุ้มข้อและปล้องไว้แน่น ใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้าง 1-2 ซม. ยาว 70-100 ซม. แผ่นใบและขอบใบสากและคม ออกดอกยาก
ประโยชน์ทางสมุนไพร : โคนกาบใบและลำต้นทั้งสดและแห้งมีน้ำมันหอมระเหย ตำรายาไทยใช้เป็นยาขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อแน่นจุกเสียดใช้ลำต้นแก่สดประมาณ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ทุบพอแหลก ต้มน้ำพอเดือดหรือชงน้ำ ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร นอกจากนี้ใช้เป็นยาขับปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขัดเบาหรือปัสสาวะไม่คล่อง โดยผู้ป่วยต้องไม่มีอาการบวมที่แขนและขา พบว่าน้ำมันตะไคร้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum sanctum L.
วงศ์ : Labiatae
ชื่ออื่น : กอมก้อ กอมก้อดง กะเพราขาว กะเพราแดง
วงศ์ : Labiatae
ชื่ออื่น : กอมก้อ กอมก้อดง กะเพราขาว กะเพราแดง
ลักษณะ : กะเพรามี 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง กะเพราขาวและกะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว มีลักษณะทั่วไปคล้ายโหระพา ต่างกันที่กลิ่นและกิ่งก้านซึ่งมีขนปกคลุมมากกว่าใบกะเพราขาวสีเขียวอ่อน ส่วนใบกะเพราแดงสีเขียวแกมม่วงแดง ดอกย่อยสีชมพูแกมม่วง ดอกกะเพราแดงสีเข้มกว่ากะเพราขาว
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้ใบหรือทั้งต้นเป็นยาขับลมแก้ปวดท้อง ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน นิยมใช้กะเพราแดงมากกว่ากะเพราขาว โดยใช้ยอดสด 1 กำมือ ต้มพอเดือด ดื่มเฉพาะส่วนน้ำ พบว่าฤทธิ์ขับลมเกิดจากน้ำมันหอมระเหย การทดลองในสัตว์ แสดงว่าน้ำสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สารสกัดแอลกอฮอล์สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สาร eugenol ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียด